ผลร้ายของการทิ้งบ้านต่อศีลธรรมของเยาวชน
เมื่อพูดถึงการทิ้งบ้าน ก็คงมีลักษณะคล้ายกับพูดถึงปัญหาของครอบครัว ตามปรกติมนุษย์เรา จะรักบ้านหรือถิ่นฐานของตน ถ้าไม่มีเหตุเภทภัยร้ายแรงจริง ๆ ก็คงไม่อยากจากบ้านไป ในคัมภีร์พุทธศาสนา พูดถึงเหตุการณ์ทิ้งบ้านอยู่ ๒-๓ กรณี เช่นกรณีเกิดอหิวาตกโรค ผู้คนกลัวตายเชื่อว่า ต้องพังฝาเรือนหนีไป จึงจะรอด จึงทิ้งบ้านไป ความอดอยากยากแค้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้คนทิ้งถิ่นฐานของตน และกรณีเรื่องค่านิยมผิด ๆ แม้เรื่องชูชก จากเมียสาวอมิตตา ไปขอกัณหาและชาลี สองกุมาร มาเป็นทาส ก็พอเข้าประเด็นนี้ได้ การจากบ้านหรือถิ่นฐานเดิมของตนเองจะด้วยเหตุผลใดก็ตามจัดว่า เป็นความพลัดพราก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทุกข์ประเภทหนึ่ง (ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข) ปรากฏการณ์ของคนทิ้งบ้าน ในสังคมไทยปัจจุบัน นอกจากก่อให้เกิดปัญหาแก่ถิ่นฐานเดิมของตนคือขาดพลังคน ชนบทอ่อนแอ เงียบเหงา และก่อให้เกิดความแออัดยัดเหยียด คือสลัมในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ๆ เกิดการแย่งที่อยู่อาศัย อากาศ และถนนหนทางกันแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่มั่นคงแก่ครอบครัว และผลการกระทบ มาถึงปัญหาเรื่อง ศีลธรรมของเยาวชนของชาติ อีกด้วย ข้อเท็จจริงและตัวเลขได้บอกเราว่า เด็กกำพร้าเร่รอน และด้อยโอกาส ตามวัด และสถานสงเคราะห์เด็กต่าง ๆ ล้วนมีปัญหาเรื่อง ครอบครัว คือพ่อหรือแม่ หรือทั้งสองตาย หย่าร้าง หรือไม่ก็ไปทำมาหากินในเมืองใหญ่หรือต่างประเทศ กล่าวให้กระชับเข้ามา ถ้าครอบครัวไม่ปรกติ ขาดพ่อแม่หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เด็กต้องอยู่กับปู่ย่า หรือตายายแก่ ๆ คงจะหวังผล การถ่ายทอดศีลธรรม–ศาสนา หรือหวังให้เด็กเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้น อย่างเป็นบุคคลสมบูรณ์คงยาก บางคนอาจก่อปัญหาแก่สังคม บางคนแม้ไม่ก่อปัญหาก็อาจเป็นภาระแก่สังคม ส่วนผู้จะเติบโตช่วยมาช่วยตนเองได้ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่สังคม คงมีปริมาณน้อยลง กระบวนการถ่ายทอดศีลธรรมศาสนา ก็คงล้มเหลวหรือหวังผลอะไรได้ยาก ถ้าคนทิ้งบ้าน–ถิ่นฐานของตัวเอง หรือครอบครัวแตกแยก ขาดความรักความอบอุ่นที่มา
http://www.khonnaruk.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น